ชาบี อลอนโซ่ คุณชายแห่งถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยท่วงท่าการเล่นที่มีความคลาสสิก เขาคือกองกลางที่มีการจ่ายบอลที่เฉียบขาดและแม่นยำ นั่นคือคำนิยามของเขา ชาบี อลอนโซ่ เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1981 ในเมืองเล็กๆ ของประเทศสเปน เขาเกิดมาในครอบครัวของนักฟุตบอล พ่อของเขาคือ เปริโก้ อลอนโซ่ อดีตดาวดังในช่วงปี 80 ของบาร์เซโลนา และเรอัล โซเซียดาด
ในครอบครัวของเขาเกือบทุกคนล้วนแต่ได้รับสืบทอดการเป็นนักฟุตบอลจากคุณพ่อมาทั้งสิ้น โดย ชาบี และ พี่ชาย มิเกล จะติดตามพ่อของเขาไปฝึกซ้อมฟุตบอลด้วยเสมอ ส่วนพี่ชายอีกหนึ่งคนของเขา จอน อลอนโซ่ หันไปเอาดีด้านการเป็นผู้ตัดสิน
ชาบี และ มิเกลพี่ชาย เติบโตมากับทีมเยาวชนของเรอัล โซเซียดาด โดยเล่นในตำแหน่งกองกลางเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า ชาบี จะโดดเด่นมากกว่าพี่ชาย โดยในเกมแรกที่ ชาบี ลงสนามให้กับเรอัล โซเซียดาด คือเกมในนัดที่พบกับ โลโกรนเญส ในปี 1999 และหลังจากนั้นเขาก็ลงสนามให้กับทีมอีกเป็นจำนวน 14 นัดในฤดูกาล 1999-2000
ในปี 2000-2001 เขาถูกให้เป็นเล่นในสโมสรเอย์บาร์ ด้วยการยืมตัว เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ โดยการที่เล่นให้กับเอย์บาร์ ที่เป็นสโมสรเล็กๆ ในประเทศสเปน ชาบี ไม่ค่อยได้มีโอกาสในการลงสนาม และเมื่อจบฤดูกาลเขาก็กลับมายัง เรอัล โซเซียดาด และการกลับมาในครั้งนี้ ทำให้ ชาบี กลายเป็นนักเตะที่ได้รับความชื่นชมจากแฟนบอลเป็นอย่างมาก โดยพรสวรรค์ของเขา และสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ ที่มีจุดเด่นในการวางเกมที่แม่นยำ และมีการสร้างสรรค์เกมรุกที่ดีเยี่ยม
ในปี 2002-2003 ชาบี เป็นนักเตะที่มีส่วนสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์ของเรอัล โซเซียดาด ด้วยการคว้ารองแชมป์ในศึกลาลีกาได้สำเร็จ และในปีเดียวกัน ชาบี ในวัย 21 ปี ได้ถูกเรียกตัวให้ติดทีมชาติสเปนเป็นครั้งแรก โดยในเกมนัดแรกที่เขาได้ลงสนามเป็นเกมที่พบกับเอกวาดอร์ ที่เอาชนะมาได้ 4-0
ในฤดูกาล 2003-2004 ชาบี กับการร่วมทีมกับเรอัล โซเซียดาด นั้นดูเหมือนจะประสบปัญหา ฟอร์มการเล่นของเขาดูเหมือนจะลดความน่ากลัวลง และเรอัลโซเซียดาด ทำผลงานได้ไม่ดี
ในปี 2004 ชาบี ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงในเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขา เมื่อเขาได้รับการติดต่อจาก ลิเวอร์พูล ทีมดังในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยการทาบทามของ ราฟาเอล เบนิเตซ สุดยอดกุนซือของลิเวอร์พูลในสมัยนั้น ให้ไปร่วมทีมยังถิ่นแอนฟิลด์ ซึ่งในตอนนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ กำลังสร้างทีมลิเวอร์พูลขึ้นมาใหม่ และ ชาบี คือหนึ่งในนักเตะชุดแรก ที่เขาเลือกเข้าไปในแผนการเสริมทัพ
ในเดือนสิงหาคม 2004 ชาบี เข้ามาร่วมทีมลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์ ซึ่งการมาถึงของเขาในฤดูกาลแรก ก็สามารถช่วยทีมให้คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ ซึ่งในเกมนัดชิงชนะเลิศนั้น ชาบี เป็นผู้ทำประตูช่วยให้ลิเวอร์พูลตีเสมอ เอซี มิลาน 3-3 และสุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายชนะด้วยการดวลจุดโทษ
สำหรับการเข้ามาร่วมทีมกับลิเวอร์พูลนั้น ชาบี สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกองกลางตัวหลักของทีมได้สำเร็จ โดยการเล่นคู่กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และต่อมาก็กลายเป็นคู่กองหลังที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น และด้วยสไตล์การเล่นของชาบี ที่มีความโดดเด่นในการวางบอลยาวที่แม่นยำ และลูกฟรีคิกรวมถึงการยิงไกลที่สามารถหวังผลได้ ทำให้ ชาบี กลายมาเป็นขวัญใจของแฟนบอลลิเวอร์พูลได้ในเวลาไม่นาน นอกจากนี้เขายังได้รับการยกย่องจากบรรดากูรูฟุตบอลในอังกฤษและแฟนบอลว่า เป็นหนึ่งในกองกลางที่เก่งที่สุดในยุโรปในตอนนั้น
ในปี 2005-2006 ชาบี ได้ลงสนามพร้อมกับ คู่หูคนใหม่ คือ โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก้ กองกลางดาวรุ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามา แต่เขาก็ยังโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย โดยเขาสร้างความตกตะลึงด้วยการยิงไกลกว่าครึ่งสนามในเกมที่พบกับ ลูตัน ทาวน์ ในศึกเอฟเอคัพ และในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ
ในปี 2006 ชาบี ถูกเรียกติดทีมชาติสเปนอีกครั้ง และสามารถยิงประตูแรกให้กับทีมได้ในเกมที่พบกับยูเครน ซึ่งประตูในเกมนั้นนี้เป็นประตูแรกและประตูเดียวที่เขาทำได้ในทีมชาติสเปน
ในช่วงฤดูกาล 2006-2007 และ 2007-2008 ฟอร์มการเล่นของเขา ต่ำกว่ามาตรฐานที่เขาเคยทำได้ไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสามารถยิงประตูด้วยการยิงจากครึ่งสนามได้ในเกมที่พบกับ นิวคลาสเซิล และเขายังเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของลิเวอร์พูลต่อไป
และในช่วงเวลานั้นมีข่าวออกมาอย่างหนาหูว่า ชาบี จะย้ายกลับไปค้าแข้งยังทีมในบ้านเกิด อย่าง บาร์เซโลนา และแอตเลติโก มาดริด และมาถึงในช่วงเดือนมิถุนายน 2007 ชาบี ได้ทำการต่อสัญญากับลิเวอร์พูลไปอีก 5 ปี สิ้นสุดข่าวลือเรื่องการย้ายทีมของเขาไป
ในศึกยูโร 2008 ชาบีมีชื่อติดอยู่ในทีมลุยศึกยูโร 2008 ด้วย ถึงแม้เขาเป็นแค่ตัวสำรอง แต่เขามักจะเป็นนักเตะคนแรกที่ถูกเรียกส่งตัวลงสนามเสมอ และในเกมนัดสุดท้ายของกลุ่มที่พบกับ กรีซ ชาบีได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีม และในเกมนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกมนั้นด้วย และในที่สุด ทีมชาติสเปนก็สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2008 มาครอง ด้วยการเอาชนะทีมชาติเยอรมันไปได้ในนัดชิงชนะเลิศ
ในช่วงฤดูกาล 2008-2009 ได้มีข่าวลือว่า ลิเวอร์พูล จะปล่อยตัว ชาบีออกจากทีม พร้อมกับจะดึงตัว แกแร็ต แบร์รี่ เข้ามาแทนที่เขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีดีลนี้เกิดขึ้นเนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องค่าตัวกันได้ ทำให้ ชาบี ยังคงเล่นให้กับลิเวอร์พูลด้วยความรู้สึกที่ย่ำแย่เล็กน้อย แต่เขาก็ได้กำลังใจจากแฟนบอลอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะอยู่ในสนามหรือม้านั่งสำรอง ในฤดูกาลนี้ ชาบีก็ยังทำผลงานได้ดี ด้วยการทำประตูสำคัญได้ในเกมที่พบกับเชลซี ทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 1-0 และหยุดสถิติไม่แพ้ในในบ้านของเชลซีในรอบ 4 ปีได้ และในฤดูกาลนี้แม้ว่าเขาจะเล่นภายใต้สภาพจิตใจที่ไม่สู้ดีนักจากข่าวที่ออกมาตลอดเวลาในเรื่องที่เขาจะถูกปล่อยตัวออกไป แต่ชาบี ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนนับว่าเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่ย้ายมาลิเวอร์พูล
ในปี 2009 ชาบี ย้ายไปร่วมทีมกับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ จากการพยายามทาบทามของเรอัล มาดริดในหลายต่อหลายครั้ง และเขาได้สวมเสื้อหมายเลข 22 ในปี 2010 เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมด้วยการยิงจุดโทษชนะบิยาร์เรอัลไป 6-2
ในฤดูกาล 2010-2011 เรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทีมของนายใหญ่คนใหม่ โชเซ มูรีนโย ชาบี ได้รับเสื้อหมายเลข 14และในฤดูกาล 2011-2012 ชาบี ยิงประตูที่สองให้กับเรอัล มาดริดได้ในเกมที่พบกับบาร์เซโลนา และในฤดูกาลนี้เรอัล มาดริดสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแชมป์ลีกที่ชาบีได้สัมผัสเป็นครั้งแรก
ในฤดูกาล 2014-2017 ในช่วงบั้นปลายชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขา ชาบีเลือกที่จะไปเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิคสโมสรในประเทศเยอรมัน และในปี 2014 นั้น ชาบี ได้ประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติสเปน หลังจากจบฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งชาบี ติดทีมชาติมาทั้งหมด 11 ปี ลงสนามไป 114 นัด ยิงได้ 16 ประตู และในปี 2017 ชาบี ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ สิ้นสุดเส้นทางการค้าแข้งของเขา
หลังจากการแขวนสตั๊ด ชาบี เริ่มงานโค้ชครั้งแรกด้วยการคุมทีมเยาวชนให้กับ เรอัล มาดริด และย้ายไปคุมทีมสำรองให้กับ เรอัล โซเซียดาดที่บ้านเกิดของเขา ในปี 2019